ตั้งค่า VPL และ Gain หลังเพาเวอร์แอมป์
VPL and Gain Setting เคยสังเกตเห็นเพาเวอร์เเอมป์ที่มีสวิตซ์ VPL (Voltage Peak Limiter) และ Gain อยู่หลังเครื่องกันบ้างไหมครับ ทำไมถึงต้องมี Dip switch ให้ปรับกันมากมายขนาดนั้น หลาย ๆ ท่าน ที่ใช้เพาเวอร์แอมป์ดังกล่าวนี้ หรือท่านที่กำลังศึกษาข้อมูลอยู่ อาจจะยังไม่ทราบว่ามันมีประโยชน์ต่อระบบเสียงของเราขนาดไหน บางคนใช้ค่าที่ตั้งมาให้จากตัวแทนจำหน่ายเพาเวอร์แอมป์นั้น ๆ หรือเอาไปจูนระบบโดยผู้เชี่ยวชาญ
รู้ไหมครับ เขามีวิธีคิดคำนวนกันอย่างไร
เดี๋ยวนี้สามารถคำนวณค่าได้ตามเว็ปไซต์หรือแอพพลิเคชั่นในมือถือ ยกตัวอย่างเช่น แอพฯ PAcalculate ของ RCF
หรือถ้าหากต้องการรู้หลักทฤษฏี หลักการคำนวณอย่างจริงจัง แนะนำอ่านบทความนี้ครับ
ตั้งค่า VPL (Voltage Peak Limiter) อย่างไรให้เหมาะสม
วิธีคำนวนคือต้องดูที่ลำโพงที่เราเอามาต่อ ว่า สเปคดอกลำโพงมีกำลังวัตต์พีค (Watt Peak) เท่าไหร่
(ถ้าไม่เข้าใจเรื่องวัตต์ บทความนี้มีคำตอบ คลิกที่นี่)
ค่าอิมพีแดนซ์ (Impedance) ที่เพาเวอร์แอมป์รับโหลด/CH (คิดได้จาก ต่อร่วมกันกี่ดอก แบบขนานหรืออนุกรม)
เมื่อได้ค่า Watt Peak และค่า Impedance แล้ว ใช้สูตรนี้ครับ
เมื่อ n คือจำนวนดอกลำโพงต่อ 1 ช่องเพาเวอร์แอมป์
เมื่อได้ผลลัพธ์ก็เอาไปปรับ Dip switch ที่หลังเพาเวอร์แอมป์ได้เลยครับ กรณีที่คำนวณได้ ค่าไม่ตรงกับที่แอมป์มีให้ปรับ ก็ให้ปรับไปยังเลขน้อยกว่าค่าคำนวณที่ใกล้เคียงที่สุดครับ
กรณีตัวอย่าง ลำโพง ยี่ห้อXX มีกำลังวัตต์พีค 4800 Watt อิมพีแดนซ์ต่อ 1 ดอก มีค่า 8 Ohm ใช้เพาเวอร์แอมป์ 1 ช่อง ขับจำนวน 2 ดอก แบบขนานกัน (ทั้ง CH1 และ CH2 ของเพาเวอร์แอมป์)
คำนวณได้ดังนี้
จากสูตร
แทนค่า WattPeak ด้วย 4800
แทนค่า n ด้วย 2
ค่า Impedance ได้จาก ดอกลำโพง 8 Ohm จำนวน 2 ดอก ต่อขนานกัน คำนวนโดย (8 ÷ 2 = 4 Ohm)
เมื่อแทนค่า จะได้
ได้ผลลัพธ์เท่ากับ 195.96 โวลต์ แต่.. หลังเพาเวอร์แอมป์ไม่มีค่านี้ เราก็ปรับแค่ 195 พอครับ
ประโยชน์คร่าว ๆ ของเจ้า VPL คือ ช่วยป้องกันสัญญาณไฟฟ้าที่ออกไปหาลําโพง ให้มีระดับแรงดัน (Volt) ไม่ เกินเลขไม่เกินค่านั้น ๆ ที่ระบุไว้หลังเครื่องครับ พูดง่าย ๆ คือกันลําโพงเสียหาย ทําให้ระบบเสียงของเรา ดูดี มีมาตรฐาน ไม่ต้องกังวลเรื่องดอกลําโพงหรือเพาเวอร์แอมป์พังนั่นเอง
ตั้ง Gain Setting อย่างไร ให้เหมาะสม
ต้องทราบค่าต่อไปนี้ โดยคร่าว ๆ แล้ว ใช้สูตรนี้ครับ
เมื่อ Vin เป็นค่าแรงดันไฟฟ้าจากอุปกรณ์ใด ๆ ที่ต่อเข้าช่องอินพุตของเพาเวอร์แอมป์ โดยผู้เขียน จะใช้ บ่อย ๆ อยู่ 2 ค่า คือ 1.228 Vrms และ 0.775 Vrms ค่าพวกนี้ จะเกี่ยวพันกับค่า dBu, dBv และ Volt ของอุปกรณ์ ระบบเสียงต่าง ๆ สามารถศึกษาเพิ่มเติมได้ หรือใช้แอพพลิเคชั่น PAcalculate คํานวณค่าได้
Vout คือค่าแรงดันส่งออกของเพาเวอร์แอมป์ ที่ถูกคํานวณจากค่า Watt rms ของลําโพง จาก สูตร
(ถ้าไม่เข้าใจเรื่องวัตต์ บทความนี้มีคำตอบ www.atprosound.com/speaker_rms-peak-aes/)
เมื่อได้ผลลัพธ์ก็เอาไปปรับ Dip switch ที่หลังเพาเวอร์แอมป์ได้เลยครับ กรณีที่คํานวณได้ ค่าไม่ตรงกับที่ แอมป์มีให้ปรับ ก็ให้ปรับไปยังเลขน้อยกว่าค่าคํานวณที่ใกล้เคียงที่สุดครับ
กรณีตัวอย่าง เพาเวอร์แอมป์ตัวหนึ่ง รับสัญญาณอินพุตจากดิจิตอลครอสโอเวอร์ ระดับค่าสัญญาณไฟฟ้า Level Vrms มีค่าเป็น 1.228 V ส่งสัญญาณเอาท์พุตไปหาลำโพง ที่มีกำลังวัตต์ Rms 3200 Watt อิมพีแดนซ์ต่อ 1 ดอก มีค่า 8 Ohm ใช้เพาเวอร์แอมป์ 1 ช่อง ขับจำนวน 2 ดอก แบบขนานกัน (ทั้ง CH1 และ CH2 ของเพาเวอร์แอมป์)
คํานวณได้ดังนี้ จากสูตร
หาค่า Vout โดยแทนค่าในสมการ
จะได้
แทนค่า Vin และ Vout ในสมการ
จะได้
โดยประมาณ (สามารถใช้เครื่องคิดเลขช่วยคำนวณได้)
ได้ผลลัพธ์เท่ากับ 42.27 dB แต่.. หลังเพาเวอร์แอมป์ไม่มีค่านี้ เราก็ปรับแค่ 41 พอครับ
ประโยชน์คร่าว ๆ ของ Gain ด้านหลังเพาเวอร์แอมป์คือ คือ ทําให้เราสามารถจัดการระบบเสียงได้ง่ายขึ้น ค่า พลังงานส่งออกพอดีกับดอกลําโพง ไฟสถานะหน้าเครื่องเพาเวอร์แอมป์ จะสอดคล้องกับสถานะไฟของอุปกรณ์อื่น ๆ ในระบบ เมื่อต้องใช้งานร่วมกับเพาเวอร์แอมป์หลายๆตัว ลําโพงหลากหลายชนิด เนื่องจากกําลังวัตต์ของแอมป์ ลําโพงแต่ละตัว ในระบบ มีค่าไม่เท่ากัน การตั้งค่า Gain ที่ถูกต้อง จึงส่งผลที่ดี ต่อระบบเสียงของเราครับ
ขอบคุณบทความจาก คุณนิติพล ชัยมั่น
อ่านบทความเพิ่มเติมที่เกี่ยวข้องได้ที่
- แอมป์สวิชชิ่งหม้อแปลง ต่างกันอย่างไร
- ดอกลำโพงไม่ขาด ต้องตั้ง Limiter อย่างไร
- แอมป์ตัวนี้ ขับดอกลำโพง “18นิ้ว” ได้ “กี่ดอก”
- หลักการทำงานของ เพาเวอร์แอมป์ คลาส AB
- หยุดทุกความสงสัย ถูกเฟส หรือ ถูกใจ (Tune and Tone)