Compressor และ Limiter ต่างกันอย่างไร ?
AT ออนไลน์ไกด์ วิธีการใช้งาน เกร็ดความรู้ เปรียบเทียบสินค้า
จำนวนเข้าชม : 1,390คอมเพรสเซอร์ VS ลิมิตเตอร์
Compressor และ Limiter ไม่ว่าจะเป็นในรูปแบบของ Plug-In หรืออุปกรณ์ DSP ในระบบเสียงกลางแจ้ง ต่างก็มีหน้าที่ในการจัดการเรื่องไดนามิกของเสียง เพื่อจัดการไดนามิกของเสียงให้มีความนิ่ง และไพเราะมากยิ่งขึ้น โดยการกด หรือบีบอัดสัญญาณ และรักษาระดับความดังเฉลี่ยให้ใกล้เคียงกัน อย่างไรก็ตามทั้งคอมเพรสเซอร์ และลิมิตเตอร์ ต่างก็มีจุดที่แตกต่างกันอยู่ ในส่วนของความแตกต่างนั้นจะคืออะไร ติดตามได้ในบทความนี้ครับ
คอมเพรสเซอร์ และลิมิตเตอร์ คืออะไร ?
-
คอมเพรสเซอร์
Compressor คือ เครื่องมือที่ช่วยบีบอัดไดนามิกของสัญญาณเสียง เพื่อสร้างความเป็นธรรมชาติให้กับสัญญาณเสียงนั้น โดย Dynamic Range หมายถึง ช่วงความแตกต่างระหว่างระดับเสียงที่ดังที่สุด กับระดับเสียงที่เบาที่สุดในสัญญาณเสียงนั้น คอมเพรสเซอร์จะทำการกดระดับเสียงที่ดังที่สุดลงมา เพื่อให้ได้ระดับความดังเฉลี่ยที่ใกล้เคียงกัน
-
ลิมิตเตอร์
ในส่วนของ Limiter คือ เครื่องมือสำหรับการประมวลผลสัญญาณเสียง ที่เกี่ยวข้องกับ Dynamic Range คล้าย ๆ กันกับคอมเพรสเซอร์ แต่จะต่างกันตรงที่ลิมิตเตอร์จะบล็อก Amplitude ของสัญญาณเสียง ไม่ให้ดังเกินกว่าค่าที่กำหนดเอาไว้ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการ Peak หรือ Clip แม้ว่าเราจะทำการ Make-up Gain แค่ไหน ลิมิตเตอร์ก็จะบล็อกไม่ให้ Amplitude ของเสียงสูงขึ้นไปกว่านี้
อ่านบทความที่เกี่ยวข้อง
การปรับค่าคอมเพรสเซอร์
คอมเพรสเซอร์จะมีปุ่ม Knob ต่าง ๆ ไว้สำหรับการตั้งค่า เช่น Threshold , Ratio , Knee , Attack Time , Release Time และอื่น ๆ โดยปุ่มปรับค่าต่าง ๆ มีหลักการทำงานดังนี้ครับ :
-
Threshold
Threshold คือ การกำหนดระดับเกณฑ์ที่คอมเพรสเซอร์จะเริ่มทำงาน เช่น หากเราตั้งค่าระดับ Threshold ไว้ที่ -10 dB ดังนั้นเมื่อระดับสัญญาณถึง หรือสูงกว่า -10 dB ขึ้นไป Compressor ก็เริ่มทำการกดไดนามิกของสัญญาณเสียง โดยเป็นการกดเฉพาะจุดที่สูงกว่า Threshold ที่กำหนดไว้
-
Ratio
Ratio คือ อัตราส่วนการบีบอัดสัญญาณ โดยใช้ dB เป็นหน่วยวัดอ้างอิงการบีบอัด ยกตัวอย่าง เช่น Ratio 1:1 หมายถึง หากมีสัญญาณเข้า 1 dB ก็จะออก 1 dB พูดอีกนัยหนึ่งก็คือ “ไม่มีการบีบอัดเลย” แต่ถ้าหากตั้งค่า Ratio ไว้ที่ 2:1 นั่นก็หมายถึง หากมีสัญญาณเข้า 2 dB ก็จะออกเพียง 1 dB เท่านั้น เป็นต้น ในกรณีที่ใช้งานจริง สมมุติว่าสัญณาณเข้ามาที่ 16 dB และคุณปรับ Ratio ที่ 4:1 นั่นแปลว่า คอมเพรสเซอร์จะทำการบีบอัดสัญญาณ ให้ออกเพียงแค่ 4 dB เท่านั้นครับ
-
Knee
Knee คือ การกำหนดความเป็นธรรมชาติ ในการเปลี่ยนสถานะของสัญญาณเสียง จากสัญญาณที่ยังไม่ถูกบีบอัด ไปสู่การเป็นสัญญาณที่ถูกบีบอัดแล้ว โดยในคอมเพรสเซอร์หลาย ๆ รุ่นก็สามารถปรับค่าได้อย่างละเอียด ในขณะที่อีกหลาย ๆ รุ่นก็จะมีให้เลือกเพียงระหว่าง “Soft Knee” (ค่อย ๆ บีบอัดสัญญาณ) และ “Hard Knee” (บีบอัดสัญญาณอย่างรุนแรง)
-
Attack Time
Attack Time หมายถึง ความเร็วของเวลา ที่ใช้ในการเข้าทำบีบอัดสัญญาณอย่างเต็มที่ หลังจากสัญญาณถึงเกณฑ์ของ Threshold ที่กำหนดไว้ โดยใช้หน่วยวัดเป็น ms (milliseconds)
-
Release Time
Release เป็นสิ่งที่อยู่ตรงข้ามกันกับ Attack Time ซึ่งหมายถึง เวลาที่ใช้ในการเปลี่ยนสถานะสัญญาณที่ถูกบีบอัดแล้ว กลับคืนสถานะสัญญาณเดิมที่ยังไม่ถูกบีบอัด โดยใช้หน่วยเป็น ms เช่นกัน ซึ่งการบีบอัดสัญญาณต่อ 1 ครั้ง จะนาน หรือสั้นแค่ไหน ก็ขึ้นอยู่กับการปรับค่า Release Time ครับ
-
Output Gain (Make-up Gain)
Output Gain หรือ Make-up Gain แล้วแต่ผู้ผลิตแต่ละแบรนด์จะใช้เรียกแบบไหน แต่ทั้ง 2 คำนี้มีความหมายเดียวกัน นั่นคือ ส่วนที่ทำหน้าที่ในการชดเชยความดังระดับสัญญาณ ที่สูญเสียไปจากการบีบอัดนั่นเอง
การปรับค่าลิมิตเตอร์
เมนูฟังก์ชั่นต่าง ๆ ของ Limiter จะมีความเหมือนกับ Compressor อยู่บ้าง เพียงแต่ลิมิตเตอร์จะไม่มีการปรับ Knee และ Ratio โดยลิมิตเตอร์จะมีเมนูฟังก์ชั่นสำหรับการปรับค่า ที่ต่างจากคอมเพรสเซอร์ดังนี้ครับ :
-
Ceiling Output
การปรับค่า Ceiling Output ของลิมิตเตอร์ ค่อนข้างจะมีความคล้ายกับ Threshold ของคอมเพรสเซอร์ นั่นก็คือ การกำหนดระดับเกณฑ์ที่ลิมิตเตอร์จะเริ่มทำงาน หรือพูดอีกนัยหนึ่งก็คือ การกำหนดเพดานสัญญาณเสียง ที่ไม่ต้องการให้เกิด Peak หรือ Clip ยกตัวอย่าง เช่น หากกำหนด Ceiling Output ไว้ที่ -0.1 dB เมื่อระดับเสียงถึงเพดานที่กำหนดไว้ หรือทำการ Make-up Gain ขึ้น ระดับ Amplitude สูงสุดของสัญญาณเสียงนั้น ก็จะถูกบล็อกไว้ไม่ให้เกิน -0.1 dB ครับ
-
Loudness Metering
Loudness Metering จะเป็นในลักษณะของกราฟ สำหรับการวัดระดับความดังของเสียง โดยปกติแล้วใช้หน่วยวัดเป็น LUFS (Loudness Units Full Scale) สำหรับ Sound Engineer ในสตูดิโอก็จะใช้หน่วยวัดนี้ เพื่อทำการ Mastering เพลง ให้มีความดังที่เหมาะสมกับแพลตฟอร์มต่าง ๆ แต่ในส่วนงานระบบเสียงกลางแจ้ง ลิมิตเติอร์ก็มีความสำคัญเช่นกัน ในการป้องกันไม่ให้เกิดความเสียหายต่อดอกลำโพงนั่นเองครับ
สรุป ความแตกต่างของ Compressor และ Limiter
ในคอมเพรสเซอร์บางรุ่น เราอาจจะพบว่ามีการ Built-in ลิมิตเตอร์มาให้ในตัว แต่โดยทั่วไปที่เราพบเห็นกันส่วนใหญ่นั้น คอมเพรสเซอร์ และลิมิตเตอร์จะทำงานแยกส่วนออกจากกัน เพราะสิ่งที่แตกต่างกันอย่างชัดเจนระหว่างสองสิ่งนี้ นั่นก็คือ คอมเพรสเซอร์ จะทำหน้าที่ในการ “กด” ไดนามิกของเสียงที่ดัง ลงมาให้อยู่ในระดับเฉลี่ยที่ใกล้เคียงกัน ส่วนลิมิตเตอร์ จะทำหน้าที่ในการ “บล็อก” Amplitude ของเสียง เพื่อไม่ให้เกิดการ Peak หรือ Clip เพื่อความปลอดภัยของดอกลำโพง ทั้งคอมเพรสเซอร์ และลิมิตเตอร์เองนั้น ไม่ได้มีหน้าที่ทำให้เสียงที่เบาดังขึ้น เพราะสิ่งที่ทำให้ไดนามิกของสัญญาณดังขึ้นจริง ๆ นั่นก็คือการ “Make-up Gain” ครับ
หากท่านมีความสนใจ หรือต้องการติดต่อสอบถามข้อมูล เกี่ยวกับสินค้า หรืองานติดตั้งระบบเสียงต่าง ๆ กับผู้เชี่ยวชาญโดยตรง ท่านสามารถติดต่อเข้ามาได้ที่ :
- Tel. : 098-785-5549
- Facebook : AT prosound-shop
- Line : @atprosound
- E-mail : [email protected]
เวลาทำการ
Monday | 9:00 — 18:00 |
Tuesday | 9:00 — 18:00 |
Wednesday | 9:00 — 18:00 |
Thursday | 9:00 — 18:00 |
Friday | 9:00 — 18:00 |
Saturday | 10:00 — 19:00 |
Sunday | Closed |
AT Prosound ยินดีให้บริการครับ
ติดตามข่าวสารได้ที่ Facebook AT Prosound
บทความโดย : ณัฐพจน์ วิจารัตน์