10 หนังดนตรี สำหรับสร้างแรงบันดาลใจ

 We are your friends (2015)

การเลียนแบบคือการฆ่าตัวตาย “ศิลปินประสบความสำเร็จทุกคน เคยผ่านช่วงที่เขาเลิกชื่นชมคนอื่น เขาจะค้นพบสไตล์ของตัวเอง”

Cole ชายหนุ่มที่ฝันอยากเป็นดีเจชื่อดัง เดินทางไปรอบโลก เขาใช้ชีวิตทุกวันอยู่กับการทำเพลง แต่เพลงที่เขาตั้งใจทำขึ้นมากลับคล้ายเพลงดังๆของศิลปินหลายคน Coleไม่สามารถสร้างตัวตนผ่านเพลงได้ เขาพยายามเป็นดีเจหลายๆคนมากเกินไป จนวันนึงเขาได้พบกับJames Reed สุดยอดดีเจชื่อดัง ที่พาให้เขาเริ่มเข้าใจว่าดนตรีคือเสียงในจิตวิญญาณ แทนที่จะใช้เสียงกลองประดิษฐ์ ใช้เสียงจากคีย์บอร์ดแข็งๆ ทำไมเราถึงไม่สร้างมันขึ้นมาเอง ค้นหาเสียงใหม่ เสียงที่เป็นของจริง เงยหัวขึ้นจากคอม แล้วออกไปฟังสิ่งที่โลกจริงๆใบนี้พยายามจะบอก

Begin Again (2013)

ความรักที่ไม่ใช่อกหักดังเป๊าะ ! แต่เป็นความเจ็บปวดลึก ๆ ในหัวใจ Begin Again (2013) หนังรักคนดนตรี ที่ถ้าไปด้วยกันได้ดีก็มีแต่รุ่ง แต่ถ้าไม่รอดก็สุดแสนจะเศร้า เพราะเป็นสิ่งที่รักทั้งคู่

เรื่องราวความล้มเหลวในชีวิตรัก ที่เล่าผ่านตัวละครสองตัวอย่าง สตีฟ โปรดิวเซอร์ที่ชีวิตดูล้มเหลวสุด ๆ ทั้งเลิกกับภรรยา โดนไล่ออกจากบริษัทเพลงที่ตัวเองทำมา เพราะแนวเพลงไม่เหมาะกับการตลาดในยุคนั้น สตีฟตามหานักร้อง นักดนตรีที่ตรงกับแนวเพลงตัวเองอยู่นาน จนมาพบกับเกรต้าที่ถูกแฟนที่คบกันมาเกือบ 5 ปีนอกใจ สตีฟและเกรต้าจึงได้ร่วมทำเพลงที่พวกเขารักขึ้นมาอีกครั้ง โดยการเริ่มทำเดโม่ไปเสนอค่ายเพลง

การอัดเดโม่ในเรื่องนี้ เรียกว่าฉีกกฎการอัดเพลงไปแบบสุด ๆ ไม่ต้องมีสตูดิโอ ไม่ต้องใช้อุปกรณ์เจ๋ง ๆ ทุกสิ่งที่อยู่รอบกาย ก็เป็นเครื่องดนตรีได้ ตอกย้ำความเชื่อที่ศิลปะ ดนตรีไม่มีขีดจำกัด ไม่มีกรอบ หรือถูกผิดได้ดีจริง ๆ

ดูเผิน ๆ เหมือนจะเป็นหนังที่พาเศร้า แต่กลับมีกลิ่นความอบอุ่น บรรยากาศ ดนตรี รวมถึงเพลงในเรื่องนี้อย่าง Lost Star ที่พาให้รู้สึกว่าได้รับการเยียวยาทุกครั้งที่ดู

Bohemian Rhapsody

คุณรู้จักวง “Queen” ไหม ?

สำหรับเด็กยุค 2000 อย่างผมเองนั้น รู้จักน้อยมากหรือเคยได้ยินผ่านหูมาบ้างแต่ก็น้อย จากมุมมองผมซึ่งทำงานสายดนตรี บอกเลยว่าตัวหนังนั้นเปิดโลกอันน้อยนิดของผมได้มากเลยทีเดียว
ตัวหนังเล่าถึงประวัติวงควีน ผ่านนักร้องนำอย่าง “เฟรดดี้ เมอร์คูรี” ตั้งแต่เริ่มต้น แต่ละฉากแต่ละตอน ผมนี่ถึงกับอึ้ง แต่ประทับใจและตราตึงมาก

ด้วยเพลงของวงควีนในแต่ละอัลบั้ม ดนตรีต่างกันราวฟ้ากับเหว บางเพลงเศร้าจนอยากจะหมดลมหายใจตรงนั้น บางเพลงก็ปลุกใจจนอยากจะลากสังขารออกไปสู้กับอะไรบ้างสิ่ง

ส่วนตัวผมประทับใจฉากคอนเสิร์ตตอนท้าย ในคอนเสิร์ต Live AID ที่มีความสมจริงอย่างมาก ใครจะรู้ว่าคนที่พวกเราเห็นนั้น เป็น CG เวที ลำโพง เครื่องเสียงทุกอย่างล้วนสมจริง และให้อารมณ์ที่สุดขีด ณ ตรงนั้น จนหนังจบ ผมยังติดอยู่ในภวังค์ของวง “Queen”

Green Book (2018)

ความนิยมของดนตรีคลาสสิคในช่วง 1930-1960 ดนตรีชนิดนี้มักถูกมองว่าเป็นดนตรีของคนขาว และเป็นความนิยมในหมู่คนมีฐานะในสังคมอเมริกา หนังเรื่องนี้ได้สร้างจากเรื่องจริงของ ดร.ดอน เชอร์ลีย์ นักเปียชื่อดังระดับโลกผิวสี ผู้ที่อยากพิสูจน์ตนเองในการออกแสดงในเขตอเมริกาใต้ ในยุคที่ยังมีการเหยียดสีผิวที่ถูกฝังรากลึก พร้อมกับ บอดี้การ์ดอิตาลีสุดกระด้างจากย่านกุ๊ยของนิวยอร์กอย่าง โทนี่ ลิป วัลเลลองก้า ที่ถูกว่าจ้างให้ติดตามดูแล เดินทางโดยมีหนังสือ Green Book ซึ่งเป็นคู่มือของเหล่าคนดำ เพื่อใช้ชีวิตในการเข้าพักหรือรับประทานอาหารที่ต่างๆ เพราะในยุคนั้นยังมีการเหยียดสีผิวที่รุ่นแรง หากคุณอยู่ในที่ ที่ไม่ถูกยอมรับในสีผิว คุณอาจถุกทำร้ายด้วยวาจาหรือหนักข้อถึงการต้องเสี่ยงชีวิต

หากคุณมองหาหนังที่สร้างแรงบันดาลใจในการพิสูจน์ตัวเอง เชื้อชาติ สีผิว ภาษา มันไม่สารมารถฉุดรั้งไม่ให้คุณก้าวไปสู่ความสำเร็จที่คุณต้องการไป สำหรับใครที่ชอบดนตรีคลาสสิคห้ามพลาดเรื่องนี้เด็ดขาดเลย

Sing Street (2016)

ร้องเพลงจีบสาว สู่การเป็นวงดนตรีดังประจำเมือง เชื่อว่านักดนตรีหลายคนจุดเริ่มต้นของการเล่นดนตรีหลายคน คงเป็นการเล่นดนตรีเพื่อโชว์สาวๆเป็นอย่างแน่ หนังเรื่องนี้มันจะทำให้คุณย้อนวัยกลับไปสู่ช่วงเวลาอันหอมหวานของ First Love ที่คุณอาจจะลืมมันไปแล้ว

Cornor ลูกชายคนสุดท้องของครอบครัว ที่ต้องย้ายจากโรงเรียนดีๆ มาอยู่โรงเรียนห่วยๆ แต่ “ ในเรื่องแย่ๆมักมีสิ่งที่ดีเสมอ”เมื่อ Cornor เจอผู้หญิงกำลังยืนอยู่หน้าโรงเรียน เธอสวยราวกับนางแบบที่ออกมาจากนิตยสาร Cornor ไม่รอช้าที่จะเข้าไปคุยและชักชวนเธอมาเป็นนางเอก MV ทำให้เรื่องราวความรักของเด็กหนุ่มได้เริ่มขึ้น คุณจะได้เห็นเรื่องราวการทำวงดนตรีของเหล่าสมาชิก และมันจะให้คุณนึกถึงการหัดเล่นดนตรีของคุณอย่างแน่นอน หนังจะมีฉากของเรื่องราวยุค 80s ที่สวยงามและเพลงประกอบจากวงดนตรีดังมากมาย
ใครที่ชอบความกุ๊กกิ๊กและมีกลิ่นไอของดนตรียุค 80s ห้ามพลาดเป็นอันขาด

8 Mile (2002)

B Rabbit เด็กหนุ่มผิวขาวผู้มี “ แรป ” เป็นเพียงสิ่งยึดเหนี่ยวเดียวในชีวิต การเป็นคนขาวในหมู่คนดำ และอยู่ในวงการแรปเปอร์ ยิ่งไม่ใช่เรื่องง่าย เขามักโดนดูถูกและกลั่นแกล้งอยู่เสมอ แต่แรปของเขาได้สะท้อนวิถีชีวิต และความกดดันที่เขาต้องพบเจอ พิสูจน์ให้ทุกคนได้รู้ว่า เขาไม่ใช่ Loser ที่ยอมแพ้อย่างง่ายดาย หนังพิสูจน์ให้คนได้เห็นว่า การทำเพลง ไม่มีข้อจำกัดไม่ว่าคุณจะเกิดมาแบบไหน อยู่ในที่แบบไหน คุณก็สามารถสร้างสรรค์งานที่ดีออกมา ไม่มีข้ออ้างให้กับคนที่ยอมแพ้ให้กับอุปสรรค์

Midnight Sun (2018)

เป็นเรื่องราวของ เคธี่ ไพร์ซ์ ผู้ป่วยเป็นโรคแพ้แสงแดดขั้นรุนแรง ไม่สามารถออกจากบ้านเวลากลางวันได้ ไม่สามารถออกไปทำอะไรได้เหมือนคนปกติ เธอจึงเลือกใช้เวลาส่วนใหญ่ของเธอไปกับการร้องเพลง และเล่นกีตาร์ตัวโปรด สิ่งที่เธอชอบที่สุดคือการได้ออกไปเล่นดนตรีที่สถานีรถไฟตอนกลางคืน จนได้พบกับชาร์ลี เพื่อนบ้านที่เธอแอบมองมาตั้งแต่เด็ก เธอกลัวที่จะคบหากับชาร์ลีเพราะชีวิตเธอไม่เหมือนคนปกติ จึงปิดบังเรื่องป่วย และบอกชาร์ลีว่าทั้งคู่กันได้พบกันเฉพาะกลางคืน ชาร์ลีพาเธอไปในที่ที่เธอไม่เคยไป เธอได้ไปคอนเสิร์ต ได้ไปเล่นดนตรีในเมืองที่มีคนเยอะ ทำให้คนเริ่มรู้จักเพลงที่เธอแต่งขึ้น จนกระทั่งคืนนึง ที่ทั้งคู่ไปออกเดทด้วยกัน แล้วเผลอหลับริมทะเล เคธี่ตื่นขึ้นมาตอนพระอาทิตย์ใกล้ขึ้น สุดท้ายเธอกลับบ้านไม่ทัน เรื่องต่างๆเริ่มพลิกผันจากตรงนี้

School Of Rock (2003)

ดิวอี้ “ มือกีตาร์ผู้แพ้ให้ทุกสนามชีวิต ถูกไล่ออกจากวงที่ตัวเองรัก ” ทำให้เกิดแรงผลักดันที่จะสวมรอยเป็นอาจารย์เด็กประถม จึงได้เกิดการทำวงดนตรีร็อคของเด็กประถม 10 ขวบ
หนังเรื่องนี้จะเป็นหนังที่ทำให้คุณหลงรักในเพลงร็อคเข้าอย่างจัง เป็นหนังที่สร้างขึ้นมาเพื่อนแฟนเพลงร็อค อย่างไม่ต้องสงสัย คุณอาจจะมองเพลงร็อคแค่คนที่ทำเท่ อวดสาว แต่แท้จริงแล้วจิตวิญญาณของเพลงร็อค คือ การแหกกฎ กล้าที่จะทำสิ่งที่มันเรียกร้องออกมาจากก้นบึ้งของหัวใจ

หากคุณมองหนังที่เกี่ยวกับเพลงร็อคเราแนะนำเรื้องนี้ว่าไม่ควรพลาด เพราะมันเปี่ยมไปด้วยพลังแห่งจิตวิญญาณเพลงร็อค โดยเฉพาะการแสดงเพลงร็อคฉากสุดท้ายบนเวทีของ School of Rock จึงเป็นฉากที่โคตรร็อคและบ่งบอกถึงความเป็นเพลงร็อคได้อย่างยอดเยี่ยม

โหมโรง (2004)

เรื่องนี้คงไม่มีคนไทยคนไหนไม่รู้จัก เรื่องของ “ศร” ผู้มีพรสวรรค์ทางด้านดนตรีตั้งแต่อายุเพียง 5 ขวบ เขาสามารถเล่นระนาดได้เองโดยไม่มีใครสอน แต่อาจจะด้วยที่ชีวิตของเขาเกิดมากับเสียงของวงปี่พาทย์ของผู้เป็นพ่อคือ”ครูสิน” หัวหน้าวงปี่พาทย์มีชื่อในอัมพวา สมุทรสงคราม เรื่องราวของศร ตั้งแต่เด็กจนโต อยู่แต่กับดนตรี และดนตรีก็ได้พาศรเดินทางไปไกลแสนไกล ดังคำพูดของพ่อที่ว่า “ดนตรีจะทำให้เจ้า ได้ไปในที่ที่ไม่เคยไป ได้เห็นในสิ่งที่เจ้าไม่เคยเห็น ได้ลิ้มรสสัมผัสอันเป็นทิพย์”