Signal Flow เบื้องต้นในสตูดิโอ
ดนตรี, วิธีการใช้งาน, ไลฟ์สตรีมมิ่ง
Signal Flow
Signal Flow ใน สตูดิโอ เป็นการวางระบบของอุปกรณ์ต่าง ๆ ใน สตูดิโอ ซึ่งในบทความนี้ จะทำมาเพื่ออธิบายให้ผู้อ่านได้เข้าใจภาพรวมในการเดินระบบของ สตูดิโอ ว่า กว่าสัญญาณเสียงต้นไปจนถึงลำโพงสตูดิโอจนถึงหูเราว่าเป็นอย่างไร มาอ่านบทความต่อไปนี้กัน
1.ต้นกำเนิดเสียง Acoustic Sound
2.ตัวแปลงสัญญาณเสียงหรือคลื่นการสั่นหรือพลังงานกลเป็นสัญญาณไฟฟ้า (Transducer)
4.ตัวแปลงสัญญาณอนาล็อกเป็นดิจิตอล (ADC, A/D, A to D, Analog to Digital Converter)
5.คอมพิวเตอร์, ฮาร์ดดิส และ DAW
1.ต้นกำเนิดเสียง Acoustic Sound ใน สตูดิโอ
ก่อนเข้า สตูดิโอ จะต้องมีแหล่งกำเนิดเสียงเกิดจากแรงสั่นของวัตถุ หรือเส้นเสียงของสิ่งมีชีวิตใด ๆ ทำให้เกิดการอัดการอัดอากาศแบบไปกลับ เรียกว่า “Sound Pressure Variable” ทำให้เกิดคลื่นเสียงขึ้นมา โดยการกระจายตัวของเสียงจะอยู่รอบด้านทุกทิศทาง
หน่วยของความดัง หรือแรงดันเสียง (Sound Pressure Level) จะเป็น dBSPLสตูดิโอ
2.ตัวแปลงสัญญาณเสียงหรือคลื่นการสั่นหรือพลังงานกลเป็นสัญญาณไฟฟ้า (Transducer)
ตัวแปลงสัญญาณเสียง หรือคลื่นการสั่น หรือพลังงานกลเป็นสัญญาณไฟฟ้า เช่น ไมค์ ปิ๊คอัพกีตาร์ ซึ่ง สัญญาณไฟฟ้าที่แปลงมาก็จะมีหน่วยเป็น โวลต์ (V.) ซึ่ง สัญญาณจากไมค์ ก็จะมีค่าประมาณ 0.001 V. ถึง 0.01 V. (1 mV. ถึง 10 mV.) เมื่อแปลงค่าเป็นแรงดันสัญญาณไฟฟ้าก็จะอยู่ที่ประมาณ -60 dBV ถึง -40 dBV
ปล.ในไมค์แต่ละตัวมีค่าการรับเสียงไม่เท่ากัน
ในงานอัดเสียง สตูดิโอ ความต้องการสัญญาณในการใช้งานจริงคือ 1 V โดยประมาณ แสดงว่า แรงดันสัญญาณจากไมค์ที่ได้มาต้องการอัตราขยายเพิ่มเพื่อนำไปใช้งาน นั่นคือต้องผ่านปรีแอมป์ (Preamplifier)
อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มได้ที่
- 7เว็บ Mastering ออนไลน์ ฟรี 2020
- มิกซ์เสียงอย่างโปร เทคนิคเลือก”หูฟัง”สำหรับมือใหม่
- เสียงดีกว่า? ลำโพงสตูดิโอแนวตั้ง จับวางแนวนอน
3.ปรีแอมป์ (Preamplifier)
ปรีแอมป์ทำหน้าที่ขยายสัญญาณเพื่อให้ได้ประมาณ 1 V เพื่อที่จะนำไปใช้งาน โดยจะขยายสัญญาณไมค์ให้แรงหรือดังขึ้นก่อนที่จะผ่าน Master เหตุผลที่ต้องขยายสัญญาณไมค์ให้ดังขึ้นก่อนผ่าน Master ก็เพราะว่าจะต้องขยายให้ดังกว่า Noise ในอุปกรณ์ เช่น ใน EQ หรืออะไรต่าง ๆ ที่มี Noise ในตัว เพราะว่าเวลาเปิดผ่าน Master ไม่ว่าดังหรือเบา จะได้มีอัตราส่วนความดังระหว่าง Noise และเสียงที่จะใช้ ต่างกันเยอะ ๆ (Signal to Noise Ratio) พูดง่าย ๆ คือ ให้มีเสียงที่เราจะใช้ดังกว่า Noise ของอุปกรณ์ให้มาก ๆ
ในปรีแอมป์จะมี มิเตอร์ (Meter) คือ VU, VI Meter โดยสัญญาณที่ผ่านมิเตอร์ตัวนี้จะไม่ส่งไปไหน แค่เป็นตัววัดค่าสัญญาณว่าแรงพอใช้หรือยัง ซึ่งสัญญาณที่จะใช้คือ 1 V. ซึ่งจะเท่ากับ 0 0dBBV หรือ 0 dBVU ของ ดิจิตอล หรือ -18 dBFS
4.ตัวแปลงสัญญาณอนาล็อกเป็นดิจิตอล (ADC, A/D, A to D, Analog to Digital Converter)
ตัวแปลงสัญญาณอนาล็อกเป็นดิจิตอล ซึ่งจะแปลงสัญญาณไฟฟ้าที่ได้มาเป็นสัญญาณดิจิตอล มีหน่วยเป็น dBFS (Decibel relative to Full Scale)
*ถ้าจะเพิ่ม Analog Gear (Compressor, EQ, Tape saturation ฯลฯ) ต้องเอาไว้หลังปรีแอมป์ โดยต่อเข้าช่องอินพุตที่ไม่ผ่านมีปรีแอมป์ จากนั้นเชื่อมต่อกับคอมพิวเตอร์ด้วย อินเตอร์เฟส สาย USB, แลนด์ ฯลฯ
5.คอมพิวเตอร์, ฮาร์ดดิส และ DAW
คอมพิวเตอร์, ฮาร์ดดิส และ DAW โดยข้อมูลดิจิตอลที่รับมาจากออดิโออินเตอร์เฟส จะเข้ามาในคอมพิวเตอร์โดยจะผ่านกระบวนการส่งข้อมูลไปที่ฮาร์ดดิส แล้วรับข้อมูลกลับมา และส่งข้อมูลไปที่ DAW แล้วข้อมูลรับกลับมา จากนั้นก็ส่งผ่าน สาย USB ไปที่ออดิโออินเตอร์เฟส เข้าไปที่ ตัวแปลงสัญญาณดิจิตอลเป็นอนาล็อก (DAC, D/A, D to A, Digital to Analog Converter) โดยจะมีหน่วยวัดเป็น dBV และ dBu