สายสัญญาณ และการเชื่อมต่อในระบบเสียง

Audio Cables & Connection

สายสัญญาณ และการเชื่อมต่อในระบบเสียง | ด้วยประเภทของสายสัญญาณต่าง ๆ ที่มีอยู่มากมาย จึงไม่ใช่เรื่องง่ายเสมอไปที่จะฟันธงว่า “สายสัญญาณประเภทใด คือ สายสัญญาณ ที่ดีที่สุด” เนื่องจากว่ายังมีปัจจัยอื่น ๆ ที่ต้องคำนึงถึงอีกด้วย โดยหลัก ๆ แล้วยกตัวอย่าง เช่น ความยาวของสาย และอุปกรณ์ที่รองรับ เป็นต้น ดังนั้นในบทความนี้ เราจะมาว่ากันด้วยเรื่อง “สายสัญญาณ” และ “การเชื่อมต่อ” ในระบบเสียงกันครับ เพื่อเป็นการเพิ่มความเข้าใจ และการนำไปใช้ให้ได้ประสิทธิภาพที่สุด เมื่อพร้อมแล้ว.. เรามาติดตามไปพร้อม ๆ กันได้ในบทความนี้ครับ

สายสัญญาณ

Balanced & Unbalanced

ก่อนที่เราจะเจาะลึกลงไปถึงรายละเอียด ของสายสัญญาณประเภทต่าง ๆ ยังมีประเด็นที่สำคัญอยู่อีกเรื่องหนึ่ง นั่นก็คือ “รูปแบบสัญญาณ” ของสายแต่ละประเภท ซึ่งทั้งหมดนี้ถูกแบ่งออกเป็น 2 รูปแบบ ดังนี้ครับ :

  • สายสัญญาณ Balanced

สายสัญญาณ Balanced ได้รับการออกแบบมา เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาการรบกวนทางไฟฟ้าภายนอกโดยเฉพาะ ข้างในประกอบไปด้วย สายสัญญาณ 3 เส้น ได้แก่ Ground (Shield) , สัญญาณขั้ว บวก (Hot) และ สัญญาณขั้ว ลบ (Cold)

    • Ground เป็นสาย Shield ที่พันล้อมรอบสายสัญญาณ เพื่อป้องกันสัญญาณรบกวนทางไฟฟ้า
    • สายสัญญาณขั้ว บวก เป็นสายสัญญาณที่ใช้ส่งสัญญาณ
    • สายสัญญาณขั้ว ลบ เป็นสายสัญญาณที่ใช้ส่งสัญญาณเช่นเดียวกัน แต่เป็นการส่งสัญญาณแบบ “กลับเฟส” 180 องศา (Reverse Phase)

ซึ่งหลักการทำงานของสาย Balanced ก็คือ เมื่อส่งสัญญาณผ่านสายสัญญาณ Balance จะทำให้ Noise หรือเสียงรบกวนจากภายนอกกลับเฟสกัน และเกิดการหักล้างกัน จนเหลือแต่สัญญาณที่ป้อนไป ซึ่งเมื่อสัญญาณถูกส่งไปถึงปลายทาง อุปกรณ์ที่รับสัญญาณก็จะทำการกลับเฟสคืน ผลที่ได้ก็คือ สัญญาณที่ส่งไปหลังจากการกลับเฟสคืนนั้น สัญญาณจะเข้ม และชัดเจนขึ้นเป็น 2 เท่า อธิบายด้วยสมการไฟฟ้าได้ดังนี้ : 

สายสัญญาณ

  • สายสัญญาณ Unbalanced

สายสัญญาณ Unbalanced จะมีเพียงสายสัญญาณขั้ว บวก (Hot) และสาย Ground (Shield) เพียงเส้นเดียวเท่านั้น

    • Ground เป็นสาย Shield ที่พันล้อมรอบสายสัญญาณ เพื่อป้องกันสัญญาณรบกวนทางไฟฟ้า
    • สายสัญญาณขั้ว บวก เป็นสายสัญญาณที่ใช้ส่งสัญญาณ

หลักการทำงานของสายสัญญาณแบบ Unbalanced จะไม่ได้ซับซ้อนแบบ Balanced ก็คือ สายสัญญาณขั้ว บวก เป็นสายสัญญาณที่ใช้ส่งสัญญาณ โดยไม่ผ่านการกลับเฟสใด ๆ ทั้งสิ้น และจะมีเพียงสาย Ground ที่เป็นสาย Shield เพื่อป้องกันสัญญาณรบกวนเท่านั้น ซึ่งข้อจำกัดของสายสัญญาณแบบ Unbalanced ก็คือ ความยาวของสาย ถ้าหากสายยิ่งยาว Noise ก็จะยิ่งเพิ่มขึ้นตามไปด้วย

โดยทั่วไปที่เราสามารถพบเห็นกันได้บ่อย ๆ สายสัญญาณที่ถูกใช้บ่อย ๆ ตามบ้าน และในกลุ่มผู้ใช้งานระดับ Consumer ส่วนใหญ่แล้ว จะเป็นสายสัญญาณแบบ Unbalanced ซึ่งรวมถึงการใช้กับเครื่องดนตรีด้วย ยกตัวอย่าง เช่น กีตาร์ไฟฟ้า และเบส เป็นต้น แต่เมื่ออยู่ในสถานการณ์ที่ต้องใช้กับงานเครื่องเสียงระดับมืออาชีพ สายสัญญาณแบบ Balanced จึงเข้ามามีบทบาทอย่างมาก เช่น การใช้เป็นสายสัญญาณ เพื่อคุณภาพของสัญญาณเสียงที่ดีนั่นเองครับ

ประเภทสายสัญญาณ

เมื่อมีความเข้าใจถึงความแตกต่างระหว่างสายสัญญาณแบบ Balanced และ Unbalanced แล้ว เรามาดูกันต่อครับ ว่าสายสัญญาณประเภทต่าง ๆ ในระบบเสียงมีประเภทใดบ้าง 

  • TS

สายสัญญาณ

สาย TS หรือย่อมาจาก Tip / Sleeve ที่มักเรียกกันว่า “สายกีต้าร์” หรือ “สายเครื่องดนตรี” สายสัญญาณ Unbalanced ประเภทหนึ่ง ที่มีการเชื่อมต่อสัญญาณเสียงแบบ Mono (1 ช่องสัญญาณ) ที่ไม่ควรใช้ขนาดความยาวมาก ๆ ควรต้องให้สั้นที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เพราะอย่างที่ผมได้กล่าวไปในหัวข้อก่อนหน้านี้ว่า ความยาวของสาย ถ้าหากสายยิ่งยาว Noise ก็จะยิ่งเพิ่มขึ้นตามไปด้วย โดยสาย TS จะมีลักษณะเป็นแจ็คขนาด 1/4″ (ุ6.3mm) 

  • TRS

แม้ว่าดูด้วยสายตา สาย TRS อาจจะดูคล้ายกับสาย TS แต่จะสามารถสังเกตเห็นได้ถึงความแตกต่างได้ เนื่องจากมีขีดสีดำ 2 ขีดที่ส่วนหัวแจ็ค สาย TRS หรือย่อมาจาก Tip / Ring / Sleeve เป็นสายสัญญาณแบบ Balanced โดยมีสายสัญญาณขั้ว บวก , ลบ และกราวด์เป็นองค์ประกอบ สาย TRS เพียงเส้นเดียว ยังสามารถใช้เชื่อมต่อสัญญาณแบบ Mono (1 ช่องสัญญาณ) หรือ Stereo (2 ช่องสัญญาณ) ก็ได้ ที่เราพบเห็นกันได้บ่อย ๆ ในระบบเสียงมืออาชีพ อีกทั้งยังมีแบบขนาด 3.5mm สำหรับสายหูฟัง Headphone อีกด้วย แต่จะเป็นแบบสัญญาณ Unbalanced ครับ เนื่องจากว่า TRS (3.5mm) จะประกอบไปด้วยสายสัญญาณขั้ว บวก 2 ขั้ว และสายกราวด์เท่านั้น แต่ก็ยังสามารถส่งสัญญาณได้แบบ Stereo ครับ

  • XLR

สาย XLR สายสัญญาณแบบ Balanced หนึ่งในประเภทสายสัญญาณที่มีเอกลักษณ์ และมีความทนทานที่สุด นั่นหมายความว่าคุณสามารถใช้สาย XLR ที่มีความยาวมาก โดยไม่ต้องกลัวว่าจะเกิดการสูญเสียคุณภาพของสัญญาณเสียง หรือการถูกแทรกด้วยสัญญาณรบกวนเช่นเดียวกัน และเรามักจะเห็นการใช้สาย XLR อยู่ในอุปกรณ์เสียงหลายประเภท โดยเฉพาะไมโครโฟน , ลำโพง , มิกเซอร์ และอุปกรณ์ระบบเสียง PA ต่าง ๆ เป็นต้น เหตุผลที่อุปกรณ์เครื่องเสียงเหล่านี้ ใช้การเชื่อมต่อด้วยสาย XLR นั่นก็เพราะว่า เพื่อรับประกันสัญญาณเสียงที่คมชัด และมีความเสถียร ไม่ว่าจะใช้ความยาวสายขนาดเพียง 6 ฟุต หรือยาวกว่า 50 ฟุตก็ตาม

  • Speakon

สายสัญญาณ

 

สาย Speakon เป็นสายสัญญาณแบบ Unbalanced ที่เราไม่ค่อยเห็นกันตามบ้าน หรือเครื่องเสียงระดับ Consumer แต่มักจะพบเห็นลักษณะการใช้เป็นสายเชื่อมต่อระหว่าง เพาเวอร์แอมป์ เข้ากับลำโพงในวงการคนทำระบบเสียงมืออาชีพ ด้วยความที่สาย Speakon จะเป็นสัญญาณแบบ Unbalanced มันจึงเป็นอีกตัวเลือกหนึ่งสำหรับใช้ทดแทนสาย TS (เฉพาะอุปกรณ์ระบบเสียงที่มี Input สำหรับสาย Speakon) เนื่องจากว่าสาย Speakon ได้รับการออกแบบมาให้ใช้กับระบบเสียงที่มีกระแสไฟสูงได้ และสามารถล็อกกับช่อง Input ได้ 

  • Banana

สายแบบหัว Banana เป็นสายสัญญาณแบบ Unbalanced ประเภทหนึ่งที่มีต้นกำเนิดจากประเทศฝั่งยุโรป นิยมใช้กันตามเครื่องเสียงภายในบ้าน เชื่อมต่อระหว่างเพาเวอร์แอมป์ เข้ากับลำโพง โดยเฉพาะอย่างยิ่งชุดลำโพงโฮมเธียเตอร์ แม้ว่าดูจากภายนอกแล้วจะมีความคล้ายคลึงกับสาย RCA ก็ตาม แต่สายแจ็คแบบหัว Banana ก็มีโครงสร้างที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน และได้รับการออกแบบมาทำให้การเชื่อมต่อมีความเรียบร้อย ลดความยุ่งเหยิง และปลอดภัยยิ่งขึ้น 

  • RCA

สาย RCA เป็นสายสัญญาณแบบ Unbalanced อีกประเภทหนึ่ง ที่เราสามารถพบเห็นได้บ่อย ๆ ในระบบเสียง A/V ภายในบ้าน นอกจากนี้ก็ยังพบเห็นได้ในเครื่อง DJ Controller และด้วยความที่สาย RCA เป็นสายสัญญาณแบบ Unbalanced ดังนั้นแล้วจึงไม่แนะนำให้ใช้สายที่มีความยาวมากจนเกินไปครับ

  • S/PDIF

สายสัญญาณ

S/PDIF หรือย่อมาจาก Sony / Phillips Digital Interface เป็นการเชื่อมต่อสัญญาณเสียงแบบดิจิตอล (ในระยะไม่เกิน 10 เมตร) โดยการส่งสัญญาณของ S/PDIF จะมีอยู่ 2 แบบด้วยกัน นั่นก็คือ แบบ Coaxial (RCA) ส่งสัญญาณในรูปแบบไฟฟ้าผ่านสายสัญญาณ และแบบ Optical (Toslink) ที่ส่งสัญญาณผ่านสายใยแก้วนำแสง ซึ่ง S/PDIF มักพบเห็นได้ในระบบเสียง A/V ตามบ้านระดับ Consumer ทั่วไปจนถึงระดับ Hi-Fi เช่น TV , DAC หรือแม้แต่ใน Audio Interface หลาย ๆ รุ่นก็มีเช่นกัน

 

อ่านบทความที่เกี่ยวข้อง

 

การเชื่อมต่อ ระหว่างอุปกรณ์ในระบบเสียง

  • TS (x2) to RCA (x2)

สายสัญญาณ

ตามในภาพตัวอย่างนี้ คือ การเชื่อมต่อ ระหว่าง มิกเซอร์ เข้ากับเพาเวอร์แอมป์ และมิกเซอร์ เข้ากับลำโพง ในกรณีนี้เป็นการเชื่อมต่อระหว่างอุปกรณ์ในระยะที่อยู่ไม่ไกลกันมาก เนื่องจากว่าสายสัญญาณ TS และ RCA ต่างก็เป็นสายสัญญาณแบบ Unbalanced ด้วยกันทั้งคู่ และเพื่อเป็นการลดต้นทุน เนื่องจากในท้องตลาด สายสัญญาณแบบ Balanced ค่อนข้างมีต้นทุกในการผลิตสูงกว่าสายสัญญาณแบบ Unbalanced ครับ

  • XLR (m) to TRS

ตามในภาพตัวอย่างนี้ คือ การเชื่อมต่อ ระหว่างมิกเซอร์ เข้ากับลำโพง / มิกเซอร์ เข้ากับเพาเวอร์แอมป์ และ DJ Controller เข้ากับมิกเซอร์ ในกรณีนี้สามารถใช้ได้ทั้งในระยะใกล้ และไกล โดยไม่สูญเสียคุณภาพสัญญาณ หรือเสี่ยงต่อการถูกรบกวนด้วย Noise เนืองจากว่าสายสัญญาณที่ใช้นั้น เป็นสายสัญญาณแบบ Balanced ครับ

  • XLR to XLR

ตามในภาพตัวอย่างนี้ คือ การเชื่อมต่อ ระหว่างไมโครโฟน เข้ากับมิกเซอร์ / มิกเซอร์ เข้ากับครอสโอเวอร์ / มิกเซอร์ เข้ากับลำโพง และครอสโอเวอร์ เข้ากับเพาเวอร์แอมป์ การเชื่อมต่อระหว่างอุปกรณ์ด้วยสายสัญญาณ XLR เป็นการเชื่อมต่อรูปแบบหนึ่งที่ผมอยากแนะนำถ้าเป็นไปได้ เนื่องจากว่าสัญญาณเสียงที่ส่งไปผ่านสาย XLR ที่เป็นสายสัญญาณแบบ Balanced ทำให้มีความชัดเจน สะอาด นอกจากนี้ยังไม่เสี่ยงต่อการถูกลดทอนสัญญาณจากความยาวของสายครับ 

  • XLR (F) to TS

ตามในภาพตัวอย่างนี้ คือ การเชื่อมต่อ ระหว่างไมโครโฟน เข้ากับมิกเซอร์ / มิกเซอร์ เข้ากับครอสโอเวอร์ / มิกเซอร์ เข้ากับเพาเวอร์แอมป์ และไมโคนโฟน เข้ากับเพาเวอร์มิกเซอร์ โดยใช้สายสัญญาณ XLR (F) to TS หรือในบ้านเราเรียกว่า “สายไมค์” เป็นการแปลงสัญญาณจาก Balanced > Unbalanced การแปลงในกรณีนี้จะใช้แค่เพียงสายสัญญาณขั้ว บวก และสายกราวด์ (Shield) เท่านั้น จึงไม่เกิดการกลับเฟสของสัญญาณ เพื่อแก้ปัญหาของ Noise แต่อย่างใด

  • XLR (M) to TS

ตามในภาพตัวอย่างนี้ คือ การเชื่อมต่อ ระหว่างมิกเซอร์ เข้ากับลำโพง / มิกเซอร์ เข้ากับครอสโอเวอร์ และมิกเซอร์ เข้ากับเพาเวอร์แอมป์ โดยใช้สายสัญญาณ XLR (M) to TS เป็นการเชื่อมต่อจาก Output ของอุปกรณ์หนึ่ง ไปเข้าที่ Input ของอีกอุปกรณ์หนึ่ง เช่น DSP ต่าง ๆ ด้วยการแปลงสัญญาณจาก Balanced > Unbalanced โดยมีหลักการเดียวกันกับสาย XLR (F) to TS ครับ

  • TS to TS

สายสัญญาณ

ตามในภาพตัวอย่างนี้ คือ การเชื่อมต่อ ระหว่างเครื่องดนตรี เข้ากับอุปกรณ์บันทึกเสียงอย่าง Audio Interface และอุปกรณ์ระบบเสียงบนเวที เช่น มิกเซอร์ , DI Box รวมถึงตู้แอมป์ โดยใช้สายสัญญาณ TS to TS ซึ่งเป็นสัญญาณแบบ Unbalanced เนื่องจากว่า Output ของเครื่องดนตรี และ Input ของอุปกรณ์เหล่านี้ ล้วนเป็นการรับ-ส่งสัญญาณแบบ Unbalanced ครับ

  • TRS (3.5mm) to TRS (3.5mm)

สายสัญญาณ TRS (3.5mm) to TRS (3.5mm) เป็นสายสัญญาณแบบ Unbalanced อีกหนึ่งประเภทที่หลาย ๆ ท่านเรียกว่า “สาย AUX” เป็นอีกหนึ่งประเภทสายสัญญาณที่ผู้ใช้ระดับ Consumer นิยมใช้ให้เห็นกันบ่อย ๆ สำหรับการเปิดเพลงจากสมาร์ทโฟน และในภาพตัวอย่างนี้ คือ การเชื่อมต่อ ด้วยสายสัญญาณ TRS (3.5mm) to TRS (3.5mm) ระหว่างอุปกรณ์สมาร์ทโฟน แท็บเล็ต และไมค์ Lavalier เข้ากับอุปกรณ์ต่าง ๆ

  • TRS (3.5mm) to XLR (x2)

ตามในภาพตัวอย่างนี้ คือ การเชื่อมต่อ ระหว่างอุปกรณ์สมาร์ทโฟน แท็ปเล็ต เข้ากับมิกเซอร์โดยการใช้สาย TRS ขนาด 3.5mm – XLR (x2) ถึงแม้ว่าจะมีหัวแจ็ค XLR ที่เป็นสัญญาณ Balanced ไม่ได้แปลว่าสายสัญญาณเส้นนั้นจะเป็น Balanced เสมอไป เนื่องจากว่า TRS (3.5mm) ประกอบไปด้วยสายสัญญาณขั้ว บวก 2 ขั้ว และสายกราวด์เท่านั้น ไม่มีสายสัญญาณขั้ว ลบ เป็นองค์ประกอบ ดังนั้นจึงเป็นสายสัญญาณแบบ Unbalanced นั่นเอง แต่ถึงอย่างนั้นก็สามารถส่งสัญญาณเสียงได้แบบ Stereo (2 ช่องสัญญาณ) 

  • TRS (3.5mm) to TS (x2)

ตามในภาพตัวอย่างนี้ คือ การเชื่อมต่อ ระหว่างอุปกรณ์สมาร์ทโฟน แท็ปเล็ต เข้ากับมิกเซอร์โดยการใช้สาย TRS (3.5mm) – TS (x2) ที่เป็นสัญญาณแบบ Unbalanced เพื่อเปิด Playback หรือ Backing track แต่โดยรวมแล้วก็ใช้หลักการเดียวกันกับสายสัญญาณ TRS (3.5mm) to XLR (x2) ครับ

  • TRS (3.5mm) to RCA (x2)

สายสัญญาณ TRS (3.5mm) to RCA (x2) เป็นสายสัญญาณแบบ Unbalanced อีกหนึ่งประเภทที่หลาย ๆ ท่านเรียกว่า “สายลำโพง” แต่ความเป็นจริงแล้ว สายสัญญาณประเภทนี้มีการใช้งานที่หลากหลาย เป็นสายสัญญาณที่มักพบเห็นได้ทั่วไป ตั้งแต่การใช้งานภายในบ้าน จนถึงงานระบบเสียงกลางแจ้ง และในภาพตัวอย่างนี้ เป็นการเชื่อมต่อระหว่างอุปกรณ์สมาร์ทโฟน แท็บเล็ต เข้ากับมิกเซอร์สำหรับการเปิด Playback หรือ Backing track เช่นเดียวกันครับ

สรุป

สายสัญญาณ และการเชื่อมต่อในระบบเสียง แม้ว่าจะมีหลากหลายประเภท หลากหลายวิธีการ แต่ละแบบต่างมีข้อดี-ข้อเสีย รวมถึงต้นทุนที่ไม่เท่ากัน แต่ก็ไม่มีสายสัญญาณประเภทไหนที่ด้อยค่าไปกว่ากัน ล้วนต่างมีวัตถุประสงค์การใช้งานเป็นของตนเอง ดังนั้นเพื่อให้ได้คุณภาพเสียงที่ดีที่สุด เรา AT Prosound ยินดีให้บริการคำปรึกษา และคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญโดยตรง หรือหากท่านมีความสนใจ หรือต้องการติดต่อสอบถามข้อมูลเกี่ยวกับสินค้า หรืองานติดตั้งระบบเสียงต่าง ๆ ท่านสามารถติดต่อเข้ามาได้ที่ :

  • Tel. : 098-785-5549
  • Facebook : AT prosound-shop
  • Line : @atprosound
  • E-mail : [email protected]

เวลาทำการ

Monday 9:00 — 18:00
Tuesday 9:00 — 18:00
Wednesday 9:00 — 18:00
Thursday 9:00 — 18:00
Friday 9:00 — 18:00
Saturday 10:00 — 19:00
Sunday Closed

AT Prosound ยินดีให้บริการครับ

 

ติดตามข่าวสารได้ที่ Facebook AT Prosound

บทความโดย : ณัฐพจน์ วิจารัตน์


สินค้าแนะนำตามความสนใจ

สินค้าสั่งจอง
สินค้าสั่งจองล่วงหน้า
฿79.00฿7,900.00 (รวม VAT 7% แล้ว)
สินค้าสั่งจอง
สินค้าสั่งจองล่วงหน้า
฿55.00฿5,500.00 (รวม VAT 7% แล้ว)
฿135.00 (รวม VAT 7% แล้ว)
สินค้าสั่งจอง
สินค้าสั่งจองล่วงหน้า
฿44.00฿3,600.00 (รวม VAT 7% แล้ว)
฿145.00 (รวม VAT 7% แล้ว)
สินค้าสั่งจอง
สินค้าสั่งจองล่วงหน้า
฿93.00฿7,900.00 (รวม VAT 7% แล้ว)
สินค้าสั่งจอง
สินค้าสั่งจองล่วงหน้า
฿34.00฿2,900.00 (รวม VAT 7% แล้ว)
สินค้าสั่งจอง
สินค้าสั่งจองล่วงหน้า
฿71.00฿6,900.00 (รวม VAT 7% แล้ว)

บทความที่คุณอาจชอบ ในหมวดหมู่เดียวกัน

ใส่ความเห็น